สายดูดตะกอน สายดูดตะกอน ใช้งานร่วมกับเครื่องดูดตะกอน โดยมีความยาวหลายขนาดให้เลือกใช้งาน 6. ชุดทดสอบคุณภาพน้ำ ชุดทดสอบคุณภาพน้ำ ใช้วัดค่าความเป็นกรด-ด่าง และค่าคลอรีนในสระว่ายน้ำ ใช้งานง่าย แค่นำน้ำในสระมาใส่ในหลอดทดสอบ แล้วหยดน้ำยาลงไปประมาณ 4 หยด แล้วเขย่าให้เข้ากัน จากนั้นวัดผลของสีน้ำที่ได้โดยเทียบกับกับสเกลข้างกระบอก ทั้งนี้การตรวจวัดค่ามาตรฐานของสระว่ายน้ำนั้น ค่า pH (กรด-ด่าง) ควรอยู่ระหว่าง 7. 2-7. 8 ส่วนค่า CL (คลอรีน) ควรอยู่ระหว่าง 1-3 ppm (part per million) 7.
ซูเปอร์คลอรีน หากสระว่ายน้ำที่บ้านฉุนกลิ่นคลอรีนแรงมาก อย่างนี้ต้องปฏิบัติการซูเปอร์คลอรีน หรือการเติมคลอรีนลงในสระเกินปกติ 2-3 เท่าโดยประมาณ เพื่อทำการช็อกคลอรีน เพื่อกำจัดแอมโมเนียและสารปนเปื้อนที่อยู่ในสระน้ำ รวมทั้งตะใคร่น้ำที่ตกค้างอยู่ในสระว่ายน้ำ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นตัวการที่ทำให้สระว่ายน้ำมีกลิ่นไม่พึงประสงค์นั่นเอง 4. วัดระดับค่า pH น้ำในสระเสมอ ระดับค่า pH ที่เหมาะสมของน้ำในสระควรอยู่ระหว่าง 7. 2-7. 8 ถึงจะสะอาดและปลอดภัยสำหรับผู้ใช้สระ ดังนั้นคุณก็ไม่ควรมองข้ามค่า pH ของน้ำในสระเด็ดขาด หรือถ้าจะให้ดีควรตรวจเช็กค่า pH น้ำเป็นประจำทุกสัปดาห์ หรือช่วงที่มีคนเล่นน้ำเยอะ สังเกตเห็นว่าน้ำเปลี่ยนสี โดยสามารถใช้เครื่องมือตรวจสอบค่า pH ของน้ำที่มีจำหน่ายทั่วไปได้เลย (ราคาประมาณ 1, 000-2, 000 บาท) 5. ระดับน้ำในสระต้องไม่ต่ำกว่าระดับสกิมเมอร์ สำหรับสระน้ำระบบสกิมเมอร์ ที่มีช่องกรองเศษสกปรกบนผิวน้ำ และคอยดูดน้ำให้ไหลวนภายในสระต้องหมั่นเช็กระดับน้ำในสระให้ไม่ต่ำกว่าระดับสกิมเมอร์เพราะหากระดับน้ำต่ำกว่าสกิมเมอร์ มีความเป็นไปได้สูงว่าปั๊มน้ำอาจชำรุดเสียหาย จึงไม่สามารถดูดน้ำเข้าสระได้ตามปกติ 6.
ดูแลสภาพการใช้งานของฮีทปั๊ม ฮีทปั๊มในสระว่ายน้ำจะช่วยปรับอุณหภูมิให้น้ำในสระมีความพอดีกับอุณหภูมิในร่างกายเรา ซึ่งตัวฮีทปั๊มเองก็ต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดด้วย โดยควรตรวจเช็กสภาพการใช้งานของฮีทปั๊มเป็นประจำทุกปี หรือเมื่อสังเกตได้อย่างชัดเจนว่าอุณหภูมิของน้ำมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก ควรให้ช่างเข้ามาตรวจเช็กสภาพการใช้งานโดยด่วน 7. ทำความสะอาดเครื่องกรอง เครื่องกรองที่ใช้ในสระว่ายน้ำมีอยู่ด้วยกัน 3 ระบบ ซึ่งก็คือ ระบบกรองผ้าด้วยผงกรอง, ระบบกรองทราย และระบบกรองแบบกระดาษ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นระบบแบบไหน ก็ควรตรวจสอบสภาพการใช้งานของเครื่องกรอง พร้อมทั้งทำความสะอาดของเครื่องกรองตามวิธีทำความสะอาดของชนิดเครื่องกรองของแต่ละระบบอยู่เสมอ เพื่อรักษาความใสสะอาดของน้ำให้น่าว่ายน้ำเล่นอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ควรเดินเครื่องกรองอย่างน้อยวันละ 12 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ หรือหากวันไหนมีคนลงเล่นน้ำมากเกินปกติ ก็ควรเดินเครื่องกรองน้ำนานขึ้นตามไปด้วย 8. ขัดถูกระเบื้องสระวายน้ำทุกสัปดาห์ กระเบื้องและผนังสระว่ายน้ำ หากไม่ได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอก็คงจะมีตะใคร่น้ำเกาะอยู่เต็มไปหมด ซึ่งนอกจากจะทำให้สระว่ายน้ำสกปรกแล้ว ยังอาจเกิดความลื่น เป็นอันตรายต่อผู้ใช้สระอีกต่างหาก ดังนั้นทางที่ดีก็ควรทำความสะอาดสระว่ายน้ำเป็นประจำทุกสัปดาห์ โดยใช้เครื่องดูดตะกอนสำหรับทำความสะอาดสระว่ายน้ำ เลือกใช้ให้เหมาะสมกับสภาพสระว่ายน้ำของคุณเองด้วยนะคะ ส่วนผนังสระว่ายน้ำ หากเป็นคอนกรีต หรือกระเบื้อง สามารถใช้แปรงขนแข็งทำความสะอาดได้เลย แต่ถ้าเป็นกระเบื้องไวนิลหรือไฟเบอร์กลาส แนะนำให้ใช้ฟองน้ำนุ่ม ๆ ทำความสะอาดก็พอ 9.
สระว่ายน้ำที่ได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอ จะมีคุณภาพน้ำที่ใสสะอาด ปราศจากคราบตะกอน สร้างความมั่นใจในการใช้สระว่ายน้ำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สำหรับบ้านที่มีสระว่ายน้ำขนาดเล็ก เราสามารถดูแลสระว่ายน้ำด้วยตนเองได้ไม่ยาก เพียงแค่มีอุปกรณ์ดูแลและบำรุงรักษาสระว่ายน้ำ ก็จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานทำความสะอาดรายเดือนได้พอสมควร อุปกรณ์ดูแลสระว่ายน้ำที่ควรมีติดบ้านไว้ 1. สวิงหรือกระชอนช้อนใบไม้ สวิงหรือกระชอนช้อนใบไม้ ใช้สำหรับตักใบไม้ ขยะ หรือฝุ่นละอองที่ลอยอยู่บนผิวน้ำหรือเศษใบไม้ที่ร่วงหล่นและจมอยู่ก้นสระว่ายน้ำ 2. แปรงพลาสติกขัดสระว่ายน้ำและหัวแปรงสำหรับต่อกับด้ามดูดตะกอน แปรงพลาสติกขัดสระว่ายน้ำ ใช้สำหรับขัดพื้นและผนังสระว่ายน้ำ มีให้เลือกทั้งแบบพลาสติก และแสตนเลส 3. หัวดูดตะกอน หัวดูดตะกอน ใช้สำหรับดูดตะกอนในสระ โดยสวมเข้ากับด้ามและสายดูดตะกอน เพื่อทำความสะอาดพื้นสระว่ายน้ำ มีให้เลือกใช้งานทั้งแบบมีล้อและมีแปรงช่วยทำความสะอาดสระ 4. เครื่องดูดตะกอนสระแบบเคลื่อนที่ เครื่องดูดตะกอนสระแบบเคลื่อนที่ ที่มีปั้มน้ำ เครื่องกรอง และอุปกรณ์ทำความสะอาดครบชุดอยู่บนรถเข็น พร้อมใช้งาน เพียงต่อท่อดูด ท่อน้ำจ่ายให้เรียบร้อย ก็สามารถใช้งานได้ทันที 5.